น้ำมันปลา (Fish oil) เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด บำรุงสมองและระบบประสาท บำรุงผิวพรรณ และลดอาการอักเสบ เป็นต้น
วิธีเลือกซื้อน้ำมันปลา
แหล่งที่มาของปลา ควรเลือกน้ำมันปลาที่ผลิตจากปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล เป็นต้น เพราะเป็นปลาที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 มากกว่าปลาน้ำจืด
ปริมาณของกรดไขมันโอเมก้า 3 ควรเลือกน้ำมันปลาที่มีปริมาณ EPA และ DHA สูง โดยสัดส่วนที่เหมาะสมคือ EPA:DHA อยู่ที่ 3:2
รูปแบบของน้ำมันปลา น้ำมันปลามีให้เลือกหลายรูปแบบ เช่น เม็ดแคปซูล น้ำมันเหลว เป็นต้น ควรเลือกรูปแบบที่รับประทานง่ายและสะดวก
มาตรฐานการผลิต ควรเลือกน้ำมันปลาที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิต เช่น GMP, ISO เป็นต้น
วิธีรับประทานน้ำมันปลา
น้ำมันปลาควรรับประทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารไม่เกิน 30 นาที เพื่อให้ร่างกายดูดซึมน้ำมันปลาได้ดีที่สุด และป้องกันอาการคลื่นไส้
ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 1,000-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดยแบ่งรับประทานเป็น 2-3 ครั้ง
แนะนำ fish oil ยี่ห้อไหนดี
ข้อควรระวังในการรับประทานน้ำมันปลา
ไม่ควรรับประทานน้ำมันปลาเกินปริมาณที่แนะนำ เนื่องจากอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องอืด ท้องเสียปวดศีรษะผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานน้ำมันปลา เนื่องจากน้ำมันปลาอาจทำให้ยาออกฤทธิ์ได้น้อยลง
ผู้ที่เป็นโรคตับหรือไต ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานน้ำมันปลา เนื่องจากน้ำมันปลาอาจทำให้อาการแย่ลง
สรุป
น้ำมันปลาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อย่างไรก็ตาม ควรเลือกซื้อและรับประทานอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดและปลอดภัยจากสารปนเปื้อนต่างๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น